สนใจลงโฆษณา โทร 076210624 หรือ Email: pr_studioline@hotmail.com Line ID: studioline93 ขอเพลง โทร 076216988 ,
       
 

14 มิถุนายน วันผู้บริจาคโลหิตโลก...ขอบคุณผู้ต่อชีวิตให้เพื่อนมนุษย์

2018-06-14

การให้ หรือการบริจาคไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือสิ่งใดก็ตามล้วนแต่ได้บุญกุศล และความสุขใจจากการได้เป็นผู้ให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริจาคโลหิต นับได้ว่าเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะโลหิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของมนุษย์และสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ดังนั้นการบริจาคโลหิตเป็นสิ่งที่มีส่วนในการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นให้อยู่รอดปลอดภัย และเพื่อให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิต ดังนั้นจึงมีการกำหนดให้มีวันผู้บริจาคโลหิตโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มิถุนายน และวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องราววันผู้บริจาคโลหิตโลก มาฝากกัน
ประวัติความเป็นมาของวันผู้บริจาคโลหิตโลก
วันผู้บริจาคโลหิตโลก (World Blood Donor Day) ตรงกับวันที่ 14 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของ ดร.คาร์ล ลันด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner) แพทย์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1868-1943 ในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
บริจาคเลือด
ภาพจาก nobelprize.org
ท่านเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการจำแนกหมู่โลหิต A, B และ o ซึ่งถือว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญยิ่งต่องานบริการโลหิตทั่วโลก จนได้รับรางวัลโนเบล สาขาสรีรวิทยา หรือแพทยศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1930 อีกทั้งยังพบว่าการถ่ายเลือดให้กับผู้ที่มีหมู่เลือดเดียวกันไม่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดถูกทำลาย การค้นพบเหล่านี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการต่อยอดในวงการแพทย์มาจนถึงทุกวันนี้ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อีกเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นเพื่อให้ชาวโลกตระหนักและเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิต พร้อมกับเพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้บริจาคโลหิต องค์การอนามัยโลก สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ จึงได้ขอความร่วมมือให้สภากาชาดทั่วโลก จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริจาคโลหิตทั่วโลก และส่งเสริมงานบริการโลหิตให้เป็นที่แพร่หลายในวันผู้บริจาคโลหิตโลก 14 มิถุนายนของทุกปี โดยเริ่มครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2004 และจัดกิจกรรมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
บริจาคเลือด
คำขวัญและธีมรณรงค์วันผู้บริจาคโลหิตโลกในแต่ละปี

ในแต่ละปี องค์การอนามัยจะกำหนดแคมเปญหรือคำขวัญเพื่อให้กาชาดทั่วโลกได้ใช้ในการรณรงค์ให้ผู้คนร่วมบริจาคโลหิตเนื่องในวันผู้บริจาคโลกในแต่ละปี โดยเริ่มกำหนดแคมเปญมาตั้งแต่ปี 2012 คือ

ปี 2012

"Every blood donor is a hero." หรือภาษาไทยว่า "ทุกคนเป็นฮีโร่ได้ด้วยการบริจาคโลหิต" เพื่อยกย่องเชิดชูผู้บริจาคโลหิตทุกคนทั่วโลก ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นฮีโร่แบบไม่แสดงตัว ช่วยชีวิตผู้อื่นด้วยโลหิตของตนเอง

ปี 2013

"Give the gift of life." : "มอบโลหิต เป็นของขวัญต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์"

ปี 2014

"Safe blood for saving mothers." : "บริจาคโลหิต พลิกวิกฤต ช่วยชีวิตแม่และลูก" เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิตอย่างเพียงพอและปลอดภัย เพื่อช่วยชีวิตแม่ที่อาจเสียชีวิตจากการคลอดบุตร

ปี 2015

"Thank you for saving my life."

ปี 2016

"Blood connects us all." : "โลหิต...เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน"

ปี 2017
"What can you do? Give blood. Give now. Give often." : "ให้โลหิต ให้ประจำทุก 3 เดือน ... คุณทำได้ !"
ปี 2018
"Be there for someone else. Give blood. Share life - ทุกชีวิตมีความหมาย ให้โลหิต ให้ชีวิต"

กิจกรรมในวันผู้บริจาคโลหิตโลก

ทุกปี องค์การอนามัยโลกและกาชาดทั่วโลกจะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเพื่อขอบคุณผู้บริจาคโลหิต พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิตเพื่อเตรียมพร้อมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย สภากาชาดไทยได้รณรงค์ให้ประชาชนมาร่วมบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีปริมาณโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งในภาวะปกติ และภาวะวิกฤต เพราะปัจจุบันประชาชนยังมาบริจาคโลหิตอย่างไม่สม่ำเสมอ การจัดกิจกรรมวันผู้บริจาคโลหิต จึงเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนมาร่วมกันบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน เนื่องจากโลหิตที่มาบริจาคนั้นไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน ดังนั้นการที่มีผู้หมุนเวียนมาบริจาคอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ
บริจาคเลือด

ข้อดีของการบริจาคเลือด

ทราบหรือไม่ว่า การบริจาคโลหิตนอกจากจะได้บุญจากการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว แต่ยังมีผลดีสำหรับร่างกายของเราเองอีกมากมายด้วยนะ...

โดยการบริจาคโลหิตจะช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกทำงานดีขึ้น และร่างกายได้ผลิตเม็ดโลหิตใหม่ ซึ่งมีความแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า เช่น ลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ มีเม็ดโลหิตขาวที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น ขณะที่เกล็ดโลหิตก็จะช่วยซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การบริจาคโลหิตยังเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โดยผลการวิจัยจากฟินแลนด์ ระบุว่า โรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย เนื่องจากธาตุเหล็กจะส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จนหลอดเลือดตีบและมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคโลหิตจึงช่วยลดการสะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วย ดังนั้นในฟินแลนด์การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึงร้อยละ 88 เลยทีเดียว

ทั้งนี้คนที่สามารถบริจาคโลหิตได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร และต้องเตรียมตัวอย่างไร ลองมาดูข้อมูลจากสภากาชาดไทย
บริจาคเลือด
ภาพจาก netsuthep / Shutterstock.com
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้

1. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ผู้ที่มีอายุ 17 ปี ไม่ถึง 18 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง

2. ผู้บริจาคโลหิตเป็นครั้งแรก ถ้าอายุเกิน 55-60 ปี ให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์และพยาบาล

3. ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 60-70 ปี แบ่งเกณฑ์การคัดเลือกตามาอายุ 2 ช่วง ดังนี้

3.1 การคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตอายมากกว่า 60 จนถึง 65 ปี

1) เป็นผู้บริจาคโลหิตประจำมาโดยตลอดจนกระทั่งอายุ 60 ปี

2) บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง คือทุก 4 เดือน

3) ตรวจ Complete Blood Count (CBC) , Serum Ferritin (SF) ปีละ 1 ครั้ง เพื่อประกอบการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทั่วไป และสำหรับแพทย์ใช้ผลการตรวจ SF ในการติดตามและปรับการให้ธาตุเหล็กทอดแทน

3.2 ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 65 ปี จนถึง 70 ปี

1) เป็นผู้บริจาคโลหิตต่อเนื่องสม่ำเสมอในช่วงอายุมากกว่า 60 ปี จนถึง 65 ปี

2) บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง คือ ทุก 6 เดือน

3) ต้องได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพโดยแพทย์ หรือพยาบาลของธนาคารเลือดหรือหน่วยงานรับบริจาคโลหิตซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจคัดกรองสุขภาพผู้บริจาคโลหิต

4) ตรวจ CBC และ SF ปีละ 1 ครั้ง

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในเวลาปกติของตนเอง ในคืนก่อนวันที่มาบริจาคโลหิต

5. ไม่มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ใน 7 วันที่ผ่านมา

6. ไม่อยู่ในช่วงน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วในระยะ 3 เดือนที่ผานมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

7. สตรีไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

8. น้ำหนักต้องไม่ลดผิดปกติในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ

9. หากรับประทานยาแอสไพริน, ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดอื่น ๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 3 วัน ถ้าเป็นยาแก้อักเสบหรือยาอื่น ๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 7 วัน

10. ไม่เป็นโรคหอบหืด, ผิวหนังเรื้อรัง, วัณโรค หรือภูมิแพ้อื่น ๆ

11. ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หัวใจ, ตับ, ไต, มะเร็ง, ไทรอยด์, โลหิตออกง่าย-หยุดยาก หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ

12. หากถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนหรือรักษารากฟัน ต้องทิ้งระยะอย่างน้อย 3 วัน

13. หากเคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ต้องเกิน 6 เดือน, ผ่าตัดเล็ก ต้องเกิน 1 เดือน

14. ท่านหรือคู่ครองของท่านต้องไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์

15. ต้องไม่มีประวัติยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษ ต้องเกิน 3 ปี และมีสุขภาพดี

16. หากเจาะหู, สัก, ลบรอยสักหรือฝังเข็มในการรักษา ต้องเกิน 1 ปี

17.หากมีประวัติเจ็บป่วยและได้รับโลหิตของผู้อื่น ต้องเกิน 1 ปี

18. หากมีประวัติเป็นมาเลเรีย ถ้าเคยเป็นต้องหายมาแล้วเกิน 3 ปี หากเคยเข้าไปในพื้นที่ ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชุม ต้องทิ้งระยะอย่างน้อยเกิน 1 ปี จึงบริจาคโลหิตได้

19. ต้องไม่ได้รับวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา

20. ต้องมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
บริจาคเลือด

การเตรียมตัวก่อนมาบริจาคโลหิต

1. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง (นอนก่อนเที่ยงคืน) ในคืนก่อนวันที่จะมาบริจาคโลหิต

2. ควรมีสุขภาพสมบูรณ์ทุกประการ ไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาแก้อักเสบใด ๆ

3. รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ อาหารที่ประกอบด้วยกะทิ แกงต่าง ๆ ของทอด ของหวาน ฯลฯ เนื่องจากจะทำให้สีพลาสมาผิดปกติ เป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้

4. ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต

5. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคโลหิต 24 ชั่วโมง

6. งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

7. ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
บริจาคเลือด

สิ่งที่ควรทราบ ขณะบริจาคโลหิต

- เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี

- ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะไม่มีผื่นคันหรือรอยเขียวช้ำ

- ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า

- ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล

- ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต

- ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก

- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที

- หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำและรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง

- ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูง จนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม

ข้อปฏิบัติหลังการบริจาคโลหิต

- ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน

- งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนัก ๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำ

- งดกิจกรรมที่ใช้กำลังและเสียเหงื่อ ที่ทำให้อ่อนเพลีย

- หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมาก ๆ

- ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อซ กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิต เพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล

- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก

- การบริจาคโลหิตครั้งต่อไปเว้นระยะ 3 เดือน ยกเว้นการบริจาคพลาสมาหรือเกล็ดโลหิต

บริจาคเลือด
ภาพจาก Twinsterphoto / Shutterstock.com

บริจาคโลหิตได้ที่ไหนบ้าง

- ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ โทร. 0-2263-9600-99
- หน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคโลหิตตามพื้นที่ต่าง ๆ ตรวจสอบได้ที่ปฏิทินเวลารับบริจาคโลหิต สภากาชาดไทย
- สาขาบริการโลหิต โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ
สภากาชาดไทย
องค์การอนามัยโลก
  

Back to Top