สนใจลงโฆษณา โทร 076210624 หรือ Email: pr_studioline@hotmail.com Line ID: studioline93 ขอเพลง โทร 076216988 ,
       
 

หนุ่มทำป้าย วัย 24 อกหักประชดรัก ผูกคอลาโลก

2015-03-10



หนุ่มทำป้าย วัย 24 อกหักรักคุด ประชดรักผูกคอลาโลก หลังแฟนสาวตีตัวออกห่างไม่ยอมตอบไลน์ กลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ ก่อนจะคิดสั้นตัดช่องน้อยแต่พอตัว ผูกคอกับขื่อห้องนอน แพทย์-หน่วยพิทักษ์ชีพ ปั๊มหัวใจยื้อชีวิต ก่อนไปเสียชีวิตที่ รพ.

เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 9 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์นเรนทร รพ.วชิระภูเก็ต จ.ภูเก็ต ได้ประสานไปยังหน่วยพิทักษ์ชีพ-หน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ให้ส่งรถพยาบาลออกไปตรวจสอบ หลังได้รับแจ้งเหตุ มีคนผูกคอตายที่บ้านหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ ถนนมนตรี ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

ที่เกิดเหตุ เป็นร้านรับทำป้ายทะเบียนรถและป้ายทั่วไป พบเจ้าของบ้าน นำร่างนายอธิคม นวลสม อายุ 24 ปี ลูกชาย ลงมารอเจ้าหน้าที่อยู่ที่พื้น อยู่บริเวณหน้าห้องนอน ซึ่งอยู่ด้านหลังร้าน สภาพสวมเสื้อยืดกีฬาแขนสั้นสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงขาสามส่วนสีดำ นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆ ภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือถูกรื้อค้นแต่อย่างใด

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิทักษ์ชีพ ได้ปั๊มหัวใจพร้อมกับพยายามให้ออกซิเจน นายอธิคม ซึ่งอยู่ในอาการไม่รู้สึกตัว ประกอบกับไม่หายใจ ม่านตาเริ่มปิด จนกระทั่งแพทย์ รพ.วชิระภูเก็ต พร้อมพยาบาลมาถึงต่างสอบถามข้อมูลเบื้องต้น พบว่ามีการปั๊มหัวใจติดต่อกันมากกว่า 10 นาทีแล้ว และก่อนหน้าที่หน่วยพิทักษ์ชีพจะมาถึงอีกราว 5 นาที จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่า นายอธิคม เสียชีวิตแล้ว แต่ยังคงลงมือซีพีอาร์หรือปั๊มหัวใจต่ออีกราว 2-3 นาที ก่อนนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการสอบถาม ผู้เป็นพ่อให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ นายอธิคม ได้เก็บตัวเพียงลำพัง ภายในห้องพักด้านหลังร้าน ขณะที่พ่อและพี่ชายทำป้ายอยู่หน้าร้าน โดยปกติแล้ว นายอธิคมจะออกมาช่วยทำงาน ผู้เป็นพ่อบอกอีกว่า ผู้ตายเป็นเด็กดี ไม่เกเร แต่มาระยะหลัง ผู้ตายเริ่มเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนเพียงลำพัง เนื่องจากมีปัญหากับแฟนสาวที่อยู่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยผู้เป็นพ่อเชื่อว่าแฟนสาวกำลังตีจาก ไม่ยอมตอบไลน์ ทำให้ลูกชายเกิดอาการเครียดและคิดมาก แต่ตนคิดไม่ถึงว่า นายอธิคม จะคิดสั้นด้วยการผูกคอตาย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนข้อเท็จจริงอย่างละเอียดอีกครั้ง.

โดย ไทยรัฐออนไลน์
  

Back to Top